nuffnang Ads

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 สุดยอดผัก-ผลไม้ เพื่อความงาม

เป็นเรื่องธรรมชาติที่ สาวๆทุกคน รวมไปถึงหนุ่มๆหลายๆคน จะต้องการรักษาความหล่อความสวยให้อยู่กับตัวเองไปนานๆ หรือหาวิธีที่ช่วยทำให้ตัวเองดูดีและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น Admin เลยมีความรู้ดีดี เกี่ยวกับผักผลไม้ เพื่อความงาม มาฝากกันกันค่ะ ^__^”

ที่ จริงแล้ว ผัก-ผลไม้แทบทุกชนิดล้วนดีต่อสุขภาพและความงามทั้งนั้น เพราะนอกจากวิตามิน แร่ธาตุที่มีอยู่คละเคล้ากัน ก็ยังมีกากใยที่ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย แต่มันอาจดูยุ่งยากสำหรับใครหลายคนที่ต้องการจะรับประทานเพื่อมุ่งเน้น เรื่องความงาม เนื่องจากผลไม้ในโลกมีมากมายหลายชนิด จะซื้อจะดื่มให้ครบทุกอย่างคงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การเลือกสิ่งที่ดีในจำนวนพอเหมาะ ก็เลยเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
10 ผัก-ผลไม้ที่เป็นสุดยอดในด้านการให้ประโยชน์ด้านความงามในที่นี้มีทั้งสาร อาหารหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับความงาม และเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของส่วนต่างๆ รสชาติดี สีสันชวนลิ้มลอง ก็ได้แก่
  1. บลูเบอร์รี่ อุดม ไปด้วยสารแอนโทไซยานิน สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอนุภาพในการต้านความเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ช่วยในการทำงานของหลอดเลือดให้สมบรูณ์และช่วยให้การทำงานของวิตามินซี ในการเสริมเสร้างคอลลาเจนสมบรูณ์ และกรดผลไม้ในบลูเบอร์รี่ยังกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกเร็วขึ้น ด้วย
ไม่เฉพาะต่อผิวหนังเท่านั้น บลูเบอร์รี่ยังช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง และมีประโยชน์ต่อดวงตา เพราะใบบลูเบอร์รี่อุดมไปด้วยเยต้าแคโรทีน ใยอาหาร       ในผลก็ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
2. แบล็คเคอร์เรนท์ เป็น แหล่งอาหารที่มีวิตามินซีสูง โดยในแบล็คเคอร์เรนท์ 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 200 มิลิกรัม หรือมากกว่าส้ม ถึง 4 เท่าโดยเป็นที่รู้จักกันดีว่าวิตามินซีช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซ่อม สร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมเซลล์ และมีสาร ฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยปรับสภาพของเส้นเลือดและผิวพรรณ รวมทั้งมีโพแทสเซียม ที่ช่วยรักษาน้ำในร่างกาย และลดความดันโลหิต
3.  ทับทิม นอก จากวิตามินบ๊ 1 วิตามินบี 3 และวิตามินซีแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก นั่นคือ มีกรด แอลลาจิกในปริมาณสูง ซึ่งกรดแอลลาจิกนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งและป้องกันโรคหัวใจในระยะเริ่มต้นได้ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมยังทำหน้าที่ปกป้องผิวจากการทำลาย ของอนุมูลอิสระโดยตรง อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
4. องุ่น ใน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความงามแล้ว องุ่นเป็นผลไม้ที่ช่วยชะลอความแก่   เนื่องจากมีซีลีเนียมที่ทำหน้าที่ในการปกป้องผิวพรรณจากรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังในปริมาณมาก
ในผลองุ่น มีน้ำและใยอาหารสูง จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการล้างพิษออกจากทางเดินอาหารและตับในองุ่น มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ดังนั้นการรับประทานเป็นประจำก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง สมองความจำดี อวัยวะภายใน ไม่ว่าจะเป็นตับหรือหัวใจแข็งแรง ซึ่งส่งผลให้ความชรามาเยือนช้าลง
5.  บีทรูท แม้ ไม่ได้วิตามินเอ หรือซี แต่บีทรูทมีคุณสมบัติในการบำรุงความงานอย่างที่มองข้ามไม่ได้ นั่นคือ มีซิลิกอนซึ่งช่วยทำให้เนื้อเยื่อเกาะตัวกันได้ดี คอลลาเจนแข็งแรงขึ้น ดังนั้นจึงช่วยชลอการเกิดรอยตีนกา และผิวหนังเหี่ยวย่น อีกทั้งยังช่วยพยุงและเสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผมและเล็บที่กำลังงอก
นอกจากนี้ บีทรูทยังทำหน้าที่ในการฟอกโลหิตเสริมสร้างความแข็งแรงของตับและไต ซึ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง และผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
6. ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก และให้พลังงานต่ำโดยปริมาณของวิตามินซีในฝรั่ง จะสูงกว่าส้มราว 5 เท่า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า วิตามินซีนั้นเป็นวิตามินเพื่อความงามโดยแท้ เพราะจะช่วยให้ร่างกายผลิตและบำรุงรักษาคอลลาเจนให้สมบรูณ์ โดยคอลลาเจนนี้จะมีหน้าที่หลักในการยึดเซลล์ผิวหนัง เหงือก และเส้นเอ็นให้แข็งแรง
นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยเซลล์เม็ดเลือด ขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้แผลหายเร็วขึ้น พร้อมๆกับทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้ชรา
7.  มะม่วงสุก นอก จากปริมาณของเบต้าแคโรทีนที่สูง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส และสายตาแข็งแรงแล้ว มะม่วงสุกยังมีวิตามินซีที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจนและต้านอนุมูลอิสระด้วย ทว่าประโยชน์ของมะม่วงที่แตกต่างจากผลไม้อื่นๆ นั้นคือ มะม่วงมีวิตามินอี ที่พบได้น้อยในผลไม้ ซึ่งวิตามินอีเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินซีแล้วจะต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่ง ขึ้น และยังมีความจำเป็นอย่างมากในการช่วยให้ผนังเซลล์อยู่ในสภาะปกติ ช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนัง ประสาท กล้ามเนื้อ เม็ดเลือดแดง และการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย อีกทั้งช่วยให้ปอดทำงานได้ดี หัวใจแข็งแรง และภูมิต้านทานดีด้วยขณะที่มะม่วงมีใยอาหารปริมาณมาก ที่ทำให้ขับถ่ายสมบรูณ์
8. ส้ม & เกรปฟรุต  ที่ จับมารวมกัน เพราะผลไม้อสองชนิดนี้ มีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือเป็นแหล่งวิตามินซีที่ช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ มีโพแทสเซียมที่ช่วยรักษาสมดุลกับโซเดียมในร่างกาย ซึ่งหากปริมาณโซเดียมสูง ร่างกายจะเกิดอาการบวมน้ำ นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกและใยอาหารคล้ายๆกัน ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือ ในส้มมีวิตามินบี และแคทินนอยด์อยู่ ส่วนในเกรปฟลุตนั่นมีเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และ ไลโคพีน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสารต้านอนุมูนอิสระที่มีประสิทธิภาพ นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเลือกรับประทานส้ม หรือ เกรปฟลุต เราก็จะได้รับสารอาหารที่เกี่ยข้องวกับความงามอย่างครบถ้วน
9.  แครอต เป็น ผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพดวงตาและมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ระบบภูมิคุ้มกันและรระบบการย่อยอาหาร แครอต เต็มไปด้วยใยอาหารและน้ำ ช่วยฟอกตับ ล้างพิษเป็นแหล่งรวมวิตามินบี ซี อี และซิลิกอน ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึงลดรอยเหี่ยวย่น แข็งแรง และดูอ่อนกว่าวัย
10. อะโวคาโด อุดม ไปด้วยวิตามินเอ บี ซี อี และกรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งล้วนแต่เป็นวิตามินที่บำรุงความงาม และช่วยต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น การรับประทานอะโวคาโดจึงช่วยให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และไม่เหี่ยวย่น อีกทั้งทำให้เส้นผมเป็นมันเงางาม
กรดไขมันจำ เป็นในอะโวคาโดนั้นมีทั้งโอเมก้า 3 โอเมก้า 9 ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และบำรุงผิวพรรณ อีกทั้งยังมีลูทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรค ตา และโรคหัวใจได้

ผักผลไม้ทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ ดังนั้นทุกมื้ออาหารก็อย่าลืมรับประทานผัก แล้วก็ตบท้ายด้วยผลไม้แสนอร่อย ด้วยน๊ะค๊ะ ^__^”

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)


ลูก พรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรมไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุเช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีพรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัม และมีวิตามิน ซีซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอ เบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆหรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว
ถั่ว

ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมถั่ว ช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้(ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลงซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์ กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
บรอคโคลี่

เป็น พืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังจึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว )แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
แอปเปิ้ล

มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพคตินแต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือเจ้าตัวเพคตินนี้ มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหารลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3ผล ต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
กล้วยไข่

กล้วย ทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดีคือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเราซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
ฝรั่ง

คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์ นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเองและเพราะฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับ ประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ
ส้ม

แหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะ คะ
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิด ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา จึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่าควรจะรับประทานรวมกัน ให้ได้ วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลาย มีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะข้อมูลจาก ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์

ประโยชน์ของวิตามินซี(Vitamin c)

วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid)
หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate)
เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
ประโยชน์ ของ วิตามินซี
วิตามินซีเป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือดช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  • ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
  • ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
  • พิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  • ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
  • การรักษาด้วยการฉีดวิตามินซีปริมาณสูง ในผู้ป่วยมะเร็ง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ เนื่องจากวิตามินจะเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
  • ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
  • บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
  • แหล่งวิตามินซีแหล่ง วิตามินซี มีมากในผักตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก แต่เนื่องจากความร้อนสามารถทำลายวิตามินซีได้ง่าย จึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซี
    ข้อแนะนำ การรับประทานวิตามินซีในสภาวะปกติปริมาณวิตามินซี ที่ร่างกายควรได้รับ คือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซีได้เป็นอย่างดี
  • หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 – 18,000 มิลลิกรัม

  • แหล่งวิตามินในธรรมชาติ จำนวน และปริมาณสารอาหารที่ได้รับ

    • อะเซโรลาเชอรี่ น้ำหนัก 100 กรัม 1600 มิลิกรัม
    • ฝรั่ง น้ำหนัก 100 กรัม 230 มิลลิกรัม
    • สับปะรด 1 ชิ้นใหญ่(โดยเฉลี่ย) 20-30 มิลลิกรัม
    • กะหล่ำดอก น้ำหนัก 100 กรัม 49 มิลลิกรัม
    • บรอกโคลี น้ำหนัก 100 กรัม 84 มิลลิกรัม
    • น้ำมะนาว 1 แก้ว(100 กรัม) 34 มิลลิกรัม
    • มันฝรั่ง น้ำหนัก 100 กรัม 21.3 มิลลิกรัม
    • กะหล่ำปลี น้ำหนัก 100 กรัม 49 มิลลิกรัม
    • กล้วยชนิดต่างๆ 1 ลูก(โดยเฉลี่ย) 8.5 มิลลิกรัม
    • พริกหวาน 1 เม็ด(โดยเฉลี่ย) 100-120 มิลลิกรัม
    • ผักโขม น้ำหนัก 100 กรัม 76.5 มิลลิกรัม
    • สตรอว์เบอร์รี่ น้ำหนัก 100 กรัม 77 มิลลิกรัม
    • มะเขือเทศ น้ำหนัก 100 กรัม 21.3 มิลลิกรัม
    • มะละกอ น้ำหนัก 100 กรัม 60 มิลลิกรัม
    โทษและอันตรายจากการขาดวิตามินซี
    ผู้ที่ขาดวิตามินซี มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก แผลหายช้า
    เนื่องจากวิตามินซีทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอจะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย

    วิตามินซีมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือตัวต่อต้านสารก่อมะเร็งและช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และวิตามินซี ยังช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น ถ้าร่างกายขาดวิตามินซี จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง และทำให้ ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย เป็นโรคลักปิดลักเปิด

    ในกรณีของเด็กหรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซีน้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติอาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจางและมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้
    อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
    วิตามินซี มีผลต่อโรคเกาต์ เนื่องจากวิตามินซีมีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซีในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็กตามกระดูกข้อ ต่อต่างๆ มากขึ้น และอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ในที่สุด
    วิตามินซี มีผลต่อ นิ่วในไต เนื่องจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไปอาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซีลีเนียม ซึ่งส่งผลให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดนิวในไต หากได้รับวิตามินซีเกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้

    วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

    วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ

    วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ
    สุขภาพ

    สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ





     

     ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น

    หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่

    การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน

    การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

    ปัจจุบันคนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้นมีการเลือกรับประทานอาหาร มีการรณณรงค์เรื่องการสูบบุหรี การดื่มสุรา และการออกกำลังกาย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนไทยและคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นมาก สาเหตุที่สำคัญเกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด เมื่อท่านได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดี สมาคมโภชนาการ สมาคมความดันโลหิตสูงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับประทานอาหารซึ่งไม่เน้นเฉพาะพลังงานอย่างเดียว แต่จะเน้นเรื่องสารอาหาร และการออกกำลังกาย หัวข้อที่กล่าวมีดังนี้

    คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

    อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ
    กลุ่มคนทั่วๆไป

    รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา
    ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด
    กลุ่มคนต่างๆ

    ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม
    หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
    หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก
    ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

    กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
    คำแนะนำ

    การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล
    การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย
    สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร
    สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน
    สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร
    การจัดการเรื่องน้ำหนัก
     

    ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

    การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม) การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

    การออกกำลังกาย ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

    สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด
    ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น
    ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม
    ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน
    ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

    การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

    เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน
    ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์
    ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ
    ข้อเท็จจริงบางประการ

    ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย
    ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง
    การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า
    การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น
    ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย
    ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี
    เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน
    หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ
    หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน
    หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที

    คำแนะนำชนิดของอาหาร
    รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย
    ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา
    ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม
    ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย
    คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก

    เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว
    กลุ่มอาหาร

    เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย
    ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา
    ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน
    ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย
    กลุ่มผักและผลไม้

    ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง
    การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ
    ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์
    ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์
    ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์
    ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์
    ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์
    ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์

    คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน
    รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid
    ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated
    and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว
    เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง
    ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty
    สำหรับเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated
    fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช

    คำแนะนำสำหรับอาหารจำพวกแป้ง
    รับประทานอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ผักและผลไม้
    การปรุงอาหารไม่ไส่เกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป
    ป้องกันฟันผุโดยการลดน้ำตาลและเครื่องดื่ม
    การรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ
    สำหรับคนทั่วไปให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยกว่า 2300 มิลิกรัม(ประมาณ 1 ช้อนชา)
    เวลาปรุงอาหารให้ใส่เกลือให้น้อยที่สุด สำหรับคนที่เสี่ยงต่อโรคความดํนโลหิตสูง(คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง อ้วน ผิวดำ โรคเบาหวาน)ต้องรับประทานเกลือเพียง 1500มิลิกรัม และรับประทานเกลือโปแตสเซียมวันละ 4700 มิลิกรัม