nuffnang Ads

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

5 โรคอันตรายของผู้หญิง

5 โรคอันตรายของผู้หญิง

คำพูดที่ว่า “เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก” นั้นมันไม่ผิดเลยจริงๆ มีเรื่องราวมากมายให้ต้องคิดให้ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวแล้ว บางคนยังมีเรื่องการงานที่ต้องทำอีกด้วย ยิ่งถ้าเป็นหญิงเก่งด้วยแล้ว ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษกว่าเดิม แต่ไม่ว่าจะเก่งกาจอย่างไรถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดีๆ ก็อาจลำบากมากกว่าเดิมได้ เพราะฉะนั้นควรดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี
Dr.Carebear หมอหมีใจดีตัวแทนสมิติเวชบนโลกแห่งออนไลน์ภายใต้ Facebook/drcarebear มีข้อแนะนำมาฝากคุณผู้หญิงว่า “ตามสถิติทั่วโลกแล้ว โรคอันตรายที่ผู้หญิงควรระวังนั้นมี 5 โรคด้วยกัน คือ โรคหัวใจ มะเร็งเต้านม กระดูกพรุน โรคซึมเศร้า และโรคภูมิคุ้มกัน Autoimmune ลองมาดูกันว่าแต่ละโรคมีความเสี่ยงจากอะไรและสามารถป้องกันได้อย่างไร”
1.โรคหัวใจ
เป็นสาเหตุการตายของทั้งผู้ชายและผู้หญิงเป็นอันดับต้นๆ ในผู้หญิง โรคหัวใจเป็น สาเหตุการตายสูงถึง 29% ที่สำคัญคือ เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรและอาจทำให้ทุพพลภาพได้ หรือทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงได้ ส่วนใหญ่แล้วโรคหัวใจจะพบในผู้ชายได้มากกว่า แต่ที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงที่เป็นโรคหัวใจ ไม่ได้รับการตรวจรักษา หรือได้รับการตรวจวินิจฉัยช้ากว่าที่ควร อาการของโรคหัวใจใน ผู้หญิง อาจจะไม่ใช่แค่อาการเจ็บหน้าอก แต่บางคนมาด้วย อาการปวดที่บริเวณขากรรไกร ปวดที่บริเวณหัวไหล่ หรือมีคลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อย ซึ่งทำให้ไม่คิดว่าเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจได้แก่ อายุที่มากขึ้น พันธุกรรม สูบบุหรี่ คอเลสเตอรอลในเลือดสูง จากปัจจัยเสี่ยงที่พบ อาจแบ่งออกเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ และปัจจัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นจึงควรแก้ไขในส่วนที่จัดการได้ เช่น การออกกำลังกาย การควบคุมนํ้าหนัก งดสูบบุหรี่ ควบคุมระดับไขมันในเลือด ซึ่งจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดสมองได้

2.มะเร็งเต้านม

เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิง และถ้าพิจารณาจากสาเหตุการตายจากมะเร็งในผู้หญิง มะเร็งเต้านมเป็น สาเหตุการตายอันดับสองรองจากมะเร็งปอด บางครั้งความวิตกกังวลว่าจะพบมะเร็งเต้านม ทำให้ผู้หญิงหลายๆ คนไม่กล้าไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ หรือเมื่อพบว่าเป็นแล้วทำให้มีการตัดสินใจในการเลือกวิธีการรักษาที่อาจจะ เกินกว่าข้อบ่งชี้ตามมาตรฐาน หรืออาจจะไม่จำเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมได้แก่ อายุที่มากขึ้น พันธุกรรม เกือบ 5% ถึง 10% ของมะเร็งเต้านมสัมพันธ์กับความผิดปกติของยีน ที่รู้จักกันดีคือ ยีนที่มีชื่อ ว่า BRCA1 และ BRCA2 genes ประวัติในครอบครัวมีผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมถึงแม้ว่า ในครอบครัวของคุณไม่เคย มีประวัติเรื่องของมะเร็งเต้านมก็ไม่ได้ หมายความว่าคุณไม่ได้เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้น คุณควรพยายามควบคุมนํ้าหนัก ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและตรวจร่างกาย เพื่อที่จะเลือกการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมกับคุณ

3.โรคกระดูกพรุน

อาการ หลังค่อม หลังงอ ปวดหลัง หรือการที่กระดูกหักได้ง่ายกว่าปกติ เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในผู้หญิงสูงวัย ซึ่งภาวะนี้สามารถป้องกันได้ตั้งแต่ยังสาว เนื่องจากร่างกายจะสร้างมวลกระดูกสะสมไว้ จนกระทั่งอายุประมาณ 30 ปี และเมื่อกระดูกไม่สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้ การรักษามวลกระดูกที่มีอยู่เป็น เรื่องที่จะต้องทำต่อเนื่องโดย การรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ คือประมาณ 1,000 - 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอแล้ว การออกกำลังกาย ชนิดที่ทำให้ร่างกายได้รับนํ้าหนัก เช่นการวิ่ง การเดินเร็ว ไม่มีคำว่าสายไปในการที่จะดูแลกระดูกให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการแตกหักปัจจัย เสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน ได้แก่ เพศหญิง อายุที่มากขึ้น โครงร่าง โครงกระดูกที่ค่อนข้างเล็ก คนเอเชียและคนขาวมีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกพรุน มากกว่าประวัติโรคกระดูกพรุนในครอบครัว

4.โรคซึมเศร้า
(Depression)

เป็น โรคที่พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเกือบเท่าตัว ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นว่า ผู้หญิงต้องการสายสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในชีวิตผู้หญิงต้องการที่พึ่งพิงทางใจ ซึ่งถ้าไม่มีที่พึ่งพิงหรือคนที่คอยเป็นกำลังใจให้ ก็จะทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้บางครั้งการเปลี่ยนแปลง ของฮอร์โมน อาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นต่อการเกิดภาวะนี้ โดยเฉพาะหลังคลอด หรือเมื่อเข้าช่วงวัยหมดประจำเดือนปัจจัย เสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้แก่ เคยมีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้า มีประวัติของปัญหาโรคหัวใจ เจ็บป่วยเรื้อรังเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้า ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หากิจกรรมต่างๆ ทำ เช่น การทำงาน การเข้าสังคม การทำงานอาสา เลี้ยงสัตว์ พยายามหาเหตุผลในการที่จะลุกขึ้นทำสิ่งต่างๆ

5. ความผิดปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย
(Autoimmune Diseases)

เป็น กลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติ ของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่ทำลายเซลล์ปกติของร่างกาย มีโรคในกลุ่มนี้มากกว่า 80 ชนิด เช่น โรค SLE โรคไทรอยด์บางชนิด เป็นต้น และที่สำคัญคือ 75% ของผู้ที่เป็นโรคกลุ่มนี้คือผู้หญิง ซึ่งโรคกลุ่มนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้หญิงที่เป็นแย่ลง สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคในกลุ่มนี้ ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยในเรื่องของ พันธุกรรม ฮอร์โมน และสิ่งแวดล้อมอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องได้ และเนื่องจากไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนที่บอกได้ ทำให้โรคในกลุ่มนี้เป็นโรคที่ป้องกันได้ยาก สิ่งที่ทำได้คือหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ควรรีบพบแพทย์ เช่น การมีผื่นผิดปกติ อาการปวดบวมของข้อ นํ้าหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการบวม ปัสสาวะผิดปกติไป ผมร่วง ซึ่งอาการทั้งหมดนี้ เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน ของร่างกายตัวเอง อย่าเพิกเฉยต่ออาการผิดปกติเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม จะได้ให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรก
ท้ายสุด..ยังไงไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายก็ควรจะดูแลสุขภาพตังเองอยู่เสมอเพื่อที่เราจะได้ห่างไกลโรคกันนะจ๊ะ



 ขอบคุณโพสท์จัง.คอม

ป้องกันกระดูกพรุนตั้งแต่ยังสาว

ป้องกันกระดูกพรุนตั้งแต่ยังสาว



ภาวะกระดูกพรุน มักจะพบในผู้หญิงอายุมากกว่า60ปีหรือพบได้ในคนวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว

เมื่อก่อนเราคิดว่าการเสริมแคลเซียมเพื่อป้องกันกระดูกพรุนจะให้กันเมื่อเข้าวัยหมดประจำเดือนแล้ว
แต่ในปัจจุบันมีวิจัยพบว่าการได้รับแคลเซียมที่เพียงพอตั้งแต่ยังเป็นสาวจะสามารถลดอัตราการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้
สรุปแล้วที่ร่างกายต้องการก็ประมาณ 1000 มิลลิกรัมพยายามเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงทุกวัน รวมแล้วให้ได้ประมาณ 1000 มิลลิกรัมสำหรับผู้ที่ทานไม่ได้หรือทานแล้วไม่พออาจจำเป็นจะต้องทานแคลเซียมเสริมโดยทั่วไปให้ทานประมาณ500-600
มิลลิกรัมการรับประทานปริมาณที่มากเกินกว่า 2500 มิลลิกรัมต่อวันอาจทำให้เกิดการสะสมหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ นอกจากเรื่องของแคลเซียมแล้วร่างกายยังต้องการวิตามินDเพื่อช่วยในการดูดซึมของcalciumซึ่งเราจะสามารถได้vitamin Dทางผิวหนังทางอาหารหรือการเสริมอาหารสำหรับในเมืองไทยเราการได้รับสร้างแดด
ก็จะสามารถได้รับ vitamin D อย่างเพียงพอสุดท้ายสำหรับการป้องกันกระดูกพรุนคือการออกกำลังกายชนิด Weight bearing ได้แก่ การวิ่งการเดินเร็ว การเต้นรำ ส่วนการออกกำลังกายอย่างอื่นเช่นปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำ ไม่นับเป็นการออกกำลังกายแบบ weight bearing การออกกำลังกายแบบนี้ ครั้งละ 30 นาทีอาทิตย์ละ 3-4 วันจะสามารถเพิ่มมวลกระดูกให้ดีขึ้นได้

ขอบคุณโพสท์จัง.คอม

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10 สุดยอดผัก-ผลไม้ เพื่อความงาม

เป็นเรื่องธรรมชาติที่ สาวๆทุกคน รวมไปถึงหนุ่มๆหลายๆคน จะต้องการรักษาความหล่อความสวยให้อยู่กับตัวเองไปนานๆ หรือหาวิธีที่ช่วยทำให้ตัวเองดูดีและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น Admin เลยมีความรู้ดีดี เกี่ยวกับผักผลไม้ เพื่อความงาม มาฝากกันกันค่ะ ^__^”

ที่ จริงแล้ว ผัก-ผลไม้แทบทุกชนิดล้วนดีต่อสุขภาพและความงามทั้งนั้น เพราะนอกจากวิตามิน แร่ธาตุที่มีอยู่คละเคล้ากัน ก็ยังมีกากใยที่ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย แต่มันอาจดูยุ่งยากสำหรับใครหลายคนที่ต้องการจะรับประทานเพื่อมุ่งเน้น เรื่องความงาม เนื่องจากผลไม้ในโลกมีมากมายหลายชนิด จะซื้อจะดื่มให้ครบทุกอย่างคงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การเลือกสิ่งที่ดีในจำนวนพอเหมาะ ก็เลยเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
10 ผัก-ผลไม้ที่เป็นสุดยอดในด้านการให้ประโยชน์ด้านความงามในที่นี้มีทั้งสาร อาหารหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับความงาม และเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของส่วนต่างๆ รสชาติดี สีสันชวนลิ้มลอง ก็ได้แก่
  1. บลูเบอร์รี่ อุดม ไปด้วยสารแอนโทไซยานิน สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอนุภาพในการต้านความเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ช่วยในการทำงานของหลอดเลือดให้สมบรูณ์และช่วยให้การทำงานของวิตามินซี ในการเสริมเสร้างคอลลาเจนสมบรูณ์ และกรดผลไม้ในบลูเบอร์รี่ยังกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกเร็วขึ้น ด้วย
ไม่เฉพาะต่อผิวหนังเท่านั้น บลูเบอร์รี่ยังช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง และมีประโยชน์ต่อดวงตา เพราะใบบลูเบอร์รี่อุดมไปด้วยเยต้าแคโรทีน ใยอาหาร       ในผลก็ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
2. แบล็คเคอร์เรนท์ เป็น แหล่งอาหารที่มีวิตามินซีสูง โดยในแบล็คเคอร์เรนท์ 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 200 มิลิกรัม หรือมากกว่าส้ม ถึง 4 เท่าโดยเป็นที่รู้จักกันดีว่าวิตามินซีช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซ่อม สร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมเซลล์ และมีสาร ฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยปรับสภาพของเส้นเลือดและผิวพรรณ รวมทั้งมีโพแทสเซียม ที่ช่วยรักษาน้ำในร่างกาย และลดความดันโลหิต
3.  ทับทิม นอก จากวิตามินบ๊ 1 วิตามินบี 3 และวิตามินซีแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก นั่นคือ มีกรด แอลลาจิกในปริมาณสูง ซึ่งกรดแอลลาจิกนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งและป้องกันโรคหัวใจในระยะเริ่มต้นได้ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมยังทำหน้าที่ปกป้องผิวจากการทำลาย ของอนุมูลอิสระโดยตรง อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
4. องุ่น ใน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความงามแล้ว องุ่นเป็นผลไม้ที่ช่วยชะลอความแก่   เนื่องจากมีซีลีเนียมที่ทำหน้าที่ในการปกป้องผิวพรรณจากรอยเหี่ยวย่น อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังในปริมาณมาก
ในผลองุ่น มีน้ำและใยอาหารสูง จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการล้างพิษออกจากทางเดินอาหารและตับในองุ่น มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ดังนั้นการรับประทานเป็นประจำก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง สมองความจำดี อวัยวะภายใน ไม่ว่าจะเป็นตับหรือหัวใจแข็งแรง ซึ่งส่งผลให้ความชรามาเยือนช้าลง
5.  บีทรูท แม้ ไม่ได้วิตามินเอ หรือซี แต่บีทรูทมีคุณสมบัติในการบำรุงความงานอย่างที่มองข้ามไม่ได้ นั่นคือ มีซิลิกอนซึ่งช่วยทำให้เนื้อเยื่อเกาะตัวกันได้ดี คอลลาเจนแข็งแรงขึ้น ดังนั้นจึงช่วยชลอการเกิดรอยตีนกา และผิวหนังเหี่ยวย่น อีกทั้งยังช่วยพยุงและเสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผมและเล็บที่กำลังงอก
นอกจากนี้ บีทรูทยังทำหน้าที่ในการฟอกโลหิตเสริมสร้างความแข็งแรงของตับและไต ซึ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง และผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
6. ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก และให้พลังงานต่ำโดยปริมาณของวิตามินซีในฝรั่ง จะสูงกว่าส้มราว 5 เท่า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า วิตามินซีนั้นเป็นวิตามินเพื่อความงามโดยแท้ เพราะจะช่วยให้ร่างกายผลิตและบำรุงรักษาคอลลาเจนให้สมบรูณ์ โดยคอลลาเจนนี้จะมีหน้าที่หลักในการยึดเซลล์ผิวหนัง เหงือก และเส้นเอ็นให้แข็งแรง
นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยเซลล์เม็ดเลือด ขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้แผลหายเร็วขึ้น พร้อมๆกับทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้ชรา
7.  มะม่วงสุก นอก จากปริมาณของเบต้าแคโรทีนที่สูง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส และสายตาแข็งแรงแล้ว มะม่วงสุกยังมีวิตามินซีที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจนและต้านอนุมูลอิสระด้วย ทว่าประโยชน์ของมะม่วงที่แตกต่างจากผลไม้อื่นๆ นั้นคือ มะม่วงมีวิตามินอี ที่พบได้น้อยในผลไม้ ซึ่งวิตามินอีเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินซีแล้วจะต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่ง ขึ้น และยังมีความจำเป็นอย่างมากในการช่วยให้ผนังเซลล์อยู่ในสภาะปกติ ช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนัง ประสาท กล้ามเนื้อ เม็ดเลือดแดง และการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย อีกทั้งช่วยให้ปอดทำงานได้ดี หัวใจแข็งแรง และภูมิต้านทานดีด้วยขณะที่มะม่วงมีใยอาหารปริมาณมาก ที่ทำให้ขับถ่ายสมบรูณ์
8. ส้ม & เกรปฟรุต  ที่ จับมารวมกัน เพราะผลไม้อสองชนิดนี้ มีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือเป็นแหล่งวิตามินซีที่ช่วยรักษาความอ่อนเยาว์ มีโพแทสเซียมที่ช่วยรักษาสมดุลกับโซเดียมในร่างกาย ซึ่งหากปริมาณโซเดียมสูง ร่างกายจะเกิดอาการบวมน้ำ นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกและใยอาหารคล้ายๆกัน ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือ ในส้มมีวิตามินบี และแคทินนอยด์อยู่ ส่วนในเกรปฟลุตนั่นมีเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และ ไลโคพีน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสารต้านอนุมูนอิสระที่มีประสิทธิภาพ นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเลือกรับประทานส้ม หรือ เกรปฟลุต เราก็จะได้รับสารอาหารที่เกี่ยข้องวกับความงามอย่างครบถ้วน
9.  แครอต เป็น ผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพดวงตาและมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ระบบภูมิคุ้มกันและรระบบการย่อยอาหาร แครอต เต็มไปด้วยใยอาหารและน้ำ ช่วยฟอกตับ ล้างพิษเป็นแหล่งรวมวิตามินบี ซี อี และซิลิกอน ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึงลดรอยเหี่ยวย่น แข็งแรง และดูอ่อนกว่าวัย
10. อะโวคาโด อุดม ไปด้วยวิตามินเอ บี ซี อี และกรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งล้วนแต่เป็นวิตามินที่บำรุงความงาม และช่วยต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น การรับประทานอะโวคาโดจึงช่วยให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และไม่เหี่ยวย่น อีกทั้งทำให้เส้นผมเป็นมันเงางาม
กรดไขมันจำ เป็นในอะโวคาโดนั้นมีทั้งโอเมก้า 3 โอเมก้า 9 ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และบำรุงผิวพรรณ อีกทั้งยังมีลูทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรค ตา และโรคหัวใจได้

ผักผลไม้ทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ ดังนั้นทุกมื้ออาหารก็อย่าลืมรับประทานผัก แล้วก็ตบท้ายด้วยผลไม้แสนอร่อย ด้วยน๊ะค๊ะ ^__^”

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)


ลูก พรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรมไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุเช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีพรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัม และมีวิตามิน ซีซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอ เบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆหรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว
ถั่ว

ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมถั่ว ช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้(ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลงซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์ กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
บรอคโคลี่

เป็น พืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังจึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว )แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
แอปเปิ้ล

มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพคตินแต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือเจ้าตัวเพคตินนี้ มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหารลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3ผล ต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
กล้วยไข่

กล้วย ทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดีคือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเราซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่าแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
ฝรั่ง

คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์ นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเองและเพราะฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับ ประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ
ส้ม

แหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะ คะ
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิด ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา จึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่าควรจะรับประทานรวมกัน ให้ได้ วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลาย มีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะข้อมูลจาก ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์

ประโยชน์ของวิตามินซี(Vitamin c)

วิตามินซี (อังกฤษ: vitamin C) หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (อังกฤษ: L-ascorbic acid)
หรือ แอล-แอสคอร์เบต (อังกฤษ: L-ascorbate)
เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
ประโยชน์ ของ วิตามินซี
วิตามินซีเป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือดช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
  • ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
  • ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
  • ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
  • พิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  • ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
  • การรักษาด้วยการฉีดวิตามินซีปริมาณสูง ในผู้ป่วยมะเร็ง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ เนื่องจากวิตามินจะเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
  • ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
  • บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
  • แหล่งวิตามินซีแหล่ง วิตามินซี มีมากในผักตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก แต่เนื่องจากความร้อนสามารถทำลายวิตามินซีได้ง่าย จึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซี
    ข้อแนะนำ การรับประทานวิตามินซีในสภาวะปกติปริมาณวิตามินซี ที่ร่างกายควรได้รับ คือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้องกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซีได้เป็นอย่างดี
  • หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 – 18,000 มิลลิกรัม

  • แหล่งวิตามินในธรรมชาติ จำนวน และปริมาณสารอาหารที่ได้รับ

    • อะเซโรลาเชอรี่ น้ำหนัก 100 กรัม 1600 มิลิกรัม
    • ฝรั่ง น้ำหนัก 100 กรัม 230 มิลลิกรัม
    • สับปะรด 1 ชิ้นใหญ่(โดยเฉลี่ย) 20-30 มิลลิกรัม
    • กะหล่ำดอก น้ำหนัก 100 กรัม 49 มิลลิกรัม
    • บรอกโคลี น้ำหนัก 100 กรัม 84 มิลลิกรัม
    • น้ำมะนาว 1 แก้ว(100 กรัม) 34 มิลลิกรัม
    • มันฝรั่ง น้ำหนัก 100 กรัม 21.3 มิลลิกรัม
    • กะหล่ำปลี น้ำหนัก 100 กรัม 49 มิลลิกรัม
    • กล้วยชนิดต่างๆ 1 ลูก(โดยเฉลี่ย) 8.5 มิลลิกรัม
    • พริกหวาน 1 เม็ด(โดยเฉลี่ย) 100-120 มิลลิกรัม
    • ผักโขม น้ำหนัก 100 กรัม 76.5 มิลลิกรัม
    • สตรอว์เบอร์รี่ น้ำหนัก 100 กรัม 77 มิลลิกรัม
    • มะเขือเทศ น้ำหนัก 100 กรัม 21.3 มิลลิกรัม
    • มะละกอ น้ำหนัก 100 กรัม 60 มิลลิกรัม
    โทษและอันตรายจากการขาดวิตามินซี
    ผู้ที่ขาดวิตามินซี มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก แผลหายช้า
    เนื่องจากวิตามินซีทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอจะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย

    วิตามินซีมีคุณสมบัติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือตัวต่อต้านสารก่อมะเร็งและช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และวิตามินซี ยังช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น ถ้าร่างกายขาดวิตามินซี จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง และทำให้ ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ง่าย เป็นโรคลักปิดลักเปิด

    ในกรณีของเด็กหรือผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซีน้อยกว่าวันละ 10 มิลลิกรัม อาจทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ หากร่างกายขาดวิตามินซีมากเกินปกติอาจทำให้มีลูกยาก เป็นโรคโลหิตจางและมีภาวะความผิดปกติทางจิตได้
    อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
    วิตามินซี มีผลต่อโรคเกาต์ เนื่องจากวิตามินซีมีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซีในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็กตามกระดูกข้อ ต่อต่างๆ มากขึ้น และอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ในที่สุด
    วิตามินซี มีผลต่อ นิ่วในไต เนื่องจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไปอาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซีลีเนียม ซึ่งส่งผลให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดนิวในไต หากได้รับวิตามินซีเกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้